วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2566

โค้ชที่ฉันชอบ

                       เอริก เทน ฮาก

เกิด : 2 กุมภาพันธ์ 1970 ที่ฮากส์แบร์เกน เนเธอร์แลนด์

อายุ : 52 ปี

สัญชาติ : เนเธอร์แลนด์

ตำแหน่ง : กองหลัง / กุนซือ

ส่วนสูง : 181 เซนติเมตร


เอริก เทน ฮาก เป็นนักเตะชาวเนเธอร์แลนด์ เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ หรือ กองหลัง ให้กับ เอฟซี ทเวนเต้, เดอ เกรฟชัป, อาร์เคซี วาลวิจค์ และ เอฟซี อูเทร็คท์ รวมมากกว่า 350 เกมในทุกรายการ เขามีช่วงเวลาที่ดีกับ เอฟซี ทเวนเต้ ซึ่งเขาชนะ KNVB Cup ในฤดูกาล 2000/01 มาครองได้สำเร็จ


เทน ฮาก ยังคว้าแชมป์ลีก กับ เดอ เกรฟชัป ในฤดูกาล 1990/91 สิบปีก่อนหน้าที่จะชนะถ้วย KNVB Cup กับ เอฟซี ทเวนเต้ เขาแขวนสตั๊ด ในปี 2002 ในวัย 32 ปี ขณะที่เล่นให้กับเอฟซี ทเวนเต้ หลังจากจบฤดูกาล 2001/02


หลังจากแขวนสตั๊ดในปี 2002 เทน ฮาก จึงเข้ามาเป็นทีมงานผู้ฝึกสอนของทเวนเต้ กระทั่งปี 2009 จึงออกไปรับงานผู้ช่วยกุนซือพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ซึ่งตอนนั้นคุมโดย เฟรด รุทเทน อดีตนายใหญ่ทเวนเต้นั่นเอง


เปิดประวัติ 'เอริก เทน ฮาก' เต็งหนึ่งกุนซือคนใหม่แมนยู

ที่มาภาพ : AFP


ต่อมาเมื่อแยกทางกับพีเอสวีในปี 2012 จึงได้เริ่มต้นการเป็นกุนซือใหญ่ครั้งแรกกับโก อเฮด อีเกิลส์ แล้วนำทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้ในฤดูกาลนั้นเลย แต่อยู่ได้เพียงไม่นาน ในปี 2013 เทน ฮาก ได้รับการดึงตัวไปอยู่กับ “เสือใต้”บาเยิร์น มิวนิก แห่งบุนเดสลีกา เยอรมนี โดยทำงานคุมทีมสำรองจนถึงปี 2015 ช่วงที่อยู่กับบาเยิร์นนี้เอง เทน ฮาก ได้ซึบซับความรู้อย่างเต็มที่จาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เทรนเนอร์ชาวสแปนิช ที่คุมทีมชุดใหญ่ของ “เสือใต้” ในเวลานั้น


เมื่อแยกทางกับบาเยิร์นในปี 2015 เทน ฮาก กลับบ้านเกิดมาคุมอดีตต้นสังกัดอีกแห่งอย่างอูเทร็คท์ โดยในฤดูกาล 2016/17 พาทีมจบอันดับ 4 ของเอเรดิวิซีลีก และชนะเพลย์ออฟได้ไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า ยูโรปา ลีก ผลงานเช่นนี้จึงไปเข้าตาทีมใหญ่ของประเทศอย่างอาแจ็กซ์ ที่ตัดสินใจดึงกุนซือรายนี้มาคุมกลางฤดูกาลในเดือนมกราคม 2018 สุดท้ายพาทีมจบอันดับ 2 ได้มาเล่นแชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลนี้


อาแจ็กซ์ ของ เทน ฮาก ฝ่าฟันมาตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบสองจนถึงจุดนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ ขณะที่ผลงานในลีกปัจจุบันก็ยังรั้งรองจ่าฝูง ตามหลังพีเอสวี 5 แต้ม


นอกจากการให้ดาวรุ่งหลายรายเป็นกำลังหลักของทีมแล้ว เทน ฮาก ยังเป็นผู้ตัดสินใจแต่งตั้ง มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ปราการหลังวัยเพียง 19 ปี ให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมคนปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้แข้งรายนี้แจ้งเกิดจนได้รับความสนใจจากหลายทีมทั่วยุโรปไปแล้ว


เปิดประวัติ 'เอริก เทน ฮาก' เต็งหนึ่งกุนซือคนใหม่แมนยู

ที่มาภาพ : AFP


ในปี 2019 เทน ฮาก พาทีมสร้างความฮือฮาในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ด้วยการนำทีมผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้แบบเหลือเชื่อ อาแจ็กซ์โค่นด่านยักษ์อย่าง “ราชันชุดขาว”เรอัล มาดริด แชมป์เก่า 3 สมัยซ้อนจากสเปน ด้วยสกอร์รวม 5-3 ทั้งที่นัดแรกแพ้คารังมาก่อนด้วยซ้ำ 1-2 เป็นการเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศหนแรกในรอบ 22 ปีของอาแจ็กซ์ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงเช่นนี้ ชื่อของ เทน ฮาก จึงได้รับความสนใจขึ้นมาในทันที


ในปี 2021 มีการเก็บสถิติ เทน ฮาก คุมทีม 403 เกม คว้าชัยชนะมาได้มากถึง 257 นัด หรือคิดเป็น 63.77% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าผู้จัดการทีมระดับท็อปหลายคนเลยทีเดียว


ตัวอย่างได้แก่ อาร์แซง เวงเกอร์ (54.0%), เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (58.1%), โชเซ มูรินโญ (63.63%), คาร์โล อันเชล็อตติ (57.82%) และ เยอร์เกน คล็อปป์ (52.8%) แน่นอนว่าจำนวนเกมของเขาน้อยกว่าพวกคนที่กล่าวมา แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการออกสตาร์ทที่ดีไม่เบาเลย


จนกระทั่งล่าสุด เขาเพิ่งจะเข้าไปสัมภาษณ์งานกับทีมยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการย้ายมาคุมทีมที่ใหญ่ขึ้นในต่างแดนเพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ ให้กับตนเอง โดยผลการสัมภาษณ์ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี เมื่อสื่อของอังกฤษก็รายงานตรงกันว่า บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็พอใจและประทับใจในตัว เทน ฮาก อีกด้วย


สำหรับตอนนี้ เทน ฮาก ก็ถือเป็นแคนนิเดตกุนซืออันดับต้นๆ เช่นเดียวกับ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่กำลังมีข่าวอยู่ในตอนนี้ แต่เชื่อว่าแฟนแมนยู ในประเทศไทยต่างก็กำลังให้ความสนใจ และอยากได้กุนซือชาวเนเธอร์แลนด์ ไปคุมทัพในซีซั่นหน้าไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

 







เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

อเล็กซานเดอร์ “อเล็กซ์” แชปแมน เฟอร์กูสัน (Alexander Chapman Ferguson) เกิดวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เจ้าของฉายาว่า ไดร์เป่าผมพิฆาตป๋าแพนด้า และเฟอร์กี้ไทม์ ซึ่งเซอร์อเล็กซ์ถือเป็นบรมกุนซือชาวสกอตต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ และฟุตบอลยุคใหม่ โดยการคว้าแชมป์มาครองได้เกือบ 40 รายการ รวมถึงพรีเมียร์ ลีก 13 สมัย ตลอดการคุมหัวเรือใหญ่อันยาวนานมากว่า 27 ปีให้กับทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

อเล็กซานเดอร์ แชปแมน เฟอร์กูสัน ลืมตาดูโลก ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เป็นลูกชายของ อเล็กซานเดอร์ เบียตัน เฟอร์กูสัน กับ อลิซาเบธ ฮาร์ดี ซึ่งเฟอร์กูสัน เขาเป็นแฟนบอลตัวยงของสโมสรฟุตบอลเรนเจอร์ส ทีมจาก สก็อตติชพรีเมียร์ชิป

ตลอดการค้าแข้ง 16 ปีในฐานะผู้เล่นบนประเทศสกอตแลนด์ เฟอร์กูสัน ค้าแข้งให้กับ 6 สโมสรด้วยกัน ได้แก่ ควีนส์ พาร์ค, เซนต์ จอห์นสโตน, ดันเฟิร์มลินกลาสโกว์ เรนเจอร์สฟัลเคิร์ก และอายร์ ยูไนเต็ด โดยสถิติในเกมลีกเจ้าตัวลงเล่นไปทั้งหมด 317 นัด และยิงไป 171 ประตู ตลอดการค้าแข้งตั้งแต่ปี 1957-1973

หลังจากประกาศรีไทร์กับอาชีพนักฟุตบอล ปีต่อมาเฟอร์กูสันก็ได้เข้าสู่งานโค้ชทันที โดยเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมให้กับทีมในบ้านเกิดอย่าง อีสต์ สเตอร์ลิงเชียร์, เซนต์ เมียร์เรน และ อเบอร์ดีน ซึ่งที่สโมสรอเบอร์ดีนเขาได้รับการยอมรับให้เป็นโค้ชระดับท็อป

เขาพาทีมแซง 2 ทีมจากกลาสโกว์ และคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จในลีกสก็อตแลนด์ โดยเป็นแชมป์ สกอตติชพรีเมียร์ชิป(แชมป์ลีก) 3 สมัย, สก็อตติช คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ 1 สมัย และยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย หลังจากนั้นเฟอร์กูสันรับหน้าที่เป็นกุนซือทีมชาติสก็อตแลนด์อยู่ 1 ปี ช่วงเวลาที่เจ้าตัวจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

หลังจากที่ รอน แอตกินสัน ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 ชายนาม อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ได้เข้ามานั่งเก้าอี้แทนที่ต่อในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดทันที ซึ่งตอนที่เฟอร์กูสันเข้ามาคุมหัวเรือใหญ่ให้แมนยู เขาได้รับทีมที่กำลังจะหมดศรัทธาจากแฟนบอล เนื่องจากทีมมีคะแนนอยู่ใกล้โซนตกชั้น

หน้าที่แรกของเขาก็คือการพาทีมหนีตายจากโซนชั้นให้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เสริมทัพเลยในช่วงเปิดตลาด แต่เฟอร์กูสันก็สามารถพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบอันดับที่ 11 ได้ในฤดูกาลแรกของเขา พร้อมลั่นวาจาจะพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาครองแชมป์ให้ได้

ในฤดูกาลที่ 2 ของเฟอร์กูสัน เจ้าตัวพาแมนยูจบอันดับ 2 ของลีก ตามหลังเพียงคู่อริอย่าง ลิเวอร์พูล แต่การจบอันดับสูงในปีนี้ก็ตามมาด้วยความคาดหวังที่สูงจากทุกฝ่าย และจุดเปลี่ยนก็มาถึงในฤดูกาลถัดมา แม้เฟอร์กูสันจะใช่เงินเสริมทัพมหาศาลเพื่อวางลากฐานใหม่ แต่กลับพาทีมจบในอันดับกลางตารางจนเป็นเหตุให้แฟนบอล กดดันให้ปลดเฟอร์กูสันออกจากตำแหน่งกุนซือ

แต่บอร์ดเข้าใจถึงกระบวนการ และปัญหาที่นักเตะได้รับบาดเจ็บ เฟอร์กูสันจึงได้โอกาสแก้ตัวในการคุมหัวเรือต่อแบบหวุดหวิด และแล้วในฤดูกาล 1989/90 ก้าวเล็กๆ ของบรมกุนซือชาวสกอตต์ก็มาถึง เมื่อเฟอร์กูสันพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ แม้ฤดูกาลนั่นทีมจะจับฉลากให้ออกไปเล่นแต่นอกบ้าน แต่เจ้าตัวก็ไม่ทำให้บอร์ด และแฟนบอลต้องผิดหวังกับความสามารถของเขา

ฤดูกาลต่อมาเฟอร์กูสันพาทีมคว้าแชมป์รายการต่างๆ อย่างไม่ขาดมือ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่สามารถเอาชนะบาร์เซโลน่า 2-1 และในฤดูกาล 1991/92 ถัดมาอีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์ลีก คัพ มาเพิ่มอีก ซึ่งเวลานี้เริ่มเข้าใกล้ประถมมาบทความยิ่งใหญ่ของชายที่ชื่อ อเล็กซานเดอร์ แชปแมน เฟอร์กูสัน แล้ว

ในฤดูกาล 1992/93 ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากชื่อดิวิชั่นหนึ่ง มาเป็นพรีเมียร์ลีก การรอคอยอันยาวนานกว่า 26 ปีที่ต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของลิเวอร์พูลก็สิ้นสุดลง ทีมปีศาจแดงสามารถเบียดแอสตัน วิลล่า เถลิงบัลลังก์แชมป์ลีกใบแรกมาครองในชื่อพรีเมียร์ลีกทันที ซึ่งฤดูกาลนั่นเฟอร์กูสันได้ดึงราชาอย่าง เอริค คันโตน่า มาร่วมทัพด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ ถือเป็นดิลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะกุนซือ

หลังฤดูกาลนั้นแชมป์ก็ตามมาอย่างไม่ขาดสาย ในฤดูกาล 1993/94 และ 1995/96 ทีมสามารถทำดับเบิ้ลแชมป์ได้ถึงสองปีติด จากฝีเท้าของเหล่าเด็กรุ่น 92 และก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเพิ่มได้อีกในฤดูกาล 1996/97 ถึงตรงนี้เฟอร์กูสันได้พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมาผงาด ขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ได้สำเร็จตามคำที่เขาได้ลั่นวาจาไว้

ฤดูกาล 1998/99 เฟอร์กูสัน พาทีมครองดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกหนึ่งปีตามคาด แต่เรื่องที่แฟนบอลทั่วทั้งโลกต้องจดจำกำลังจะเกิดขึ้น ในค่ำคืนที่สนามคัมป์ นู รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก เขาสามารถทำสิ่งนั้นสำเร็จ ด้วยการตัดสินใจส่งตัวสำรองอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ลงสนามมาช่วยกันยิงประตูให้ทีมพลิกกลับมาคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จ หลังจากการรอคอยอันยาวนานกว่า 31 ปี

ถือเป็นการเติมเต็มการคว้า 3 แชมป์โดยสมบูรณ์ โดยหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษยังไม่มีทีมใดที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ พรีเมียร์ลีกเอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ได้มาก่อน เฟอร์กูสันจึงได้รับยศอัศวินหลังจากความสำเร็จครั้งนั้น ซึ่งสื่อและแฟนบอลบางคนก็เริ่มมองแล้วว่าเขากำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งหัวเรือ โดยเชื่อว่าเขาคงกำลังจะหมดไฟในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดแล้ว

แต่มันไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด เพราะฤดูกาลต่อมา 1999/20 ชายนามเซอร์ อเล็กซ์ก็ยังคงพาทีมคว้าแชมป์ลีก และถัดมาในฤดูกาล 2000/01 ก็ยังครองอับดับ 1 อยู่อีกปี ทำให้เวลานี้ทีมเป็นแชมป์ลีก 3 ปีติด จนถึงตอนนี้เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาแล้วถึง 7 สมัย และในฤดูกาล 2002/03 ท่านเซอร์ก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้อีกปี พร้อมการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ควบคู่ทำให้ตอนนี้ทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในยุคป๋าสมัยที่ 5 แล้ว

ซึ่งถึงตรงนี้ก็ผ่านมาแล้ว 16 ปี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังคงพาทีมครองความยิ่งใหญ่อยู่ตลอดการคุมทัพ แต่เมื่อกาลเวลาเดินหน้านักเตะก็ต้องมีอายุมากขึ้น เหล่าบรรดาลูกคู่กายก็ต้องแยกจากไป ถือเป็นการหมดยุคเก่านักเตะที่ท่านเซอร์สร้างขึ้น เขาก็เริ่มมองหาเพชรเม็ดใหม่นั้นก็คือ เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามาสู่ความสำเร็จในยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ในฤดูกาล 2005/06 ทีมชุดใหม่ก็เริ่มประเดิมการคว้าแชมป์ลีก คัพ จากนั้นถัดมาในฤดูกาล 2006/07 อีกปีก็ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 9 และในฤดูกาล 2007/08 ทีมปีศาจแดงในการคุมทัพของท่านเซอร์ ก็ยังคงป้องกันแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้อีกสมัย แถมซีซั่นนั้นยังพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ แต่ในครั้งนี้มันไม่ใช่การคว้าแชมป์ลีกควบคู่กับเอฟเอ คัพ แต่เป็นการคว้าแชมป์ลีกควบคู่กับยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ณ ลุซนิกิ สเตเดี้ยม กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยการดวลจุดโทษเอาชนะเชลซีนัดชิงชนะเลิศ

ต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงประสบความสำเร็จต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์สโมสรโลกในเดือนธันวาคม 2008 จากนั้นทีมปีศาจแดงก็คว้าแชมป์ลีก คัพ ได้อีกในเดือนมีนาคม 2009 โดยเอาชนะท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ โดยการดวลลูกโทษในรอบชิงชนะเลิศ

สิ้นสุดฤดูกาล 2008/09 ท่านเซอร์พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกได้สมัยที่ 11 พร้อมทั้งทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ให้ลุล่วง หลังจากที่ท่านเซอร์ ก้าวเข้ามาในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดเมื่อปี 1986 เขาตั้งใจจะทาบสถิติแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัยของลิเวอร์พูล และก็ถือว่าภารกิจนั้นได้ลุล่วงแล้วตลอดการคุมทีมอันยาวนานกว่า 22 ฤดูกาล

ต่อมาในฤดูกาลในปี 2009/10 ท่านเซอร์ทำได้เพียงพาทีมคว้าแชมป์รายการเดียวคือลีก คัพ ซึ่งก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวหวังไว้ แต่และแล้วฤดูกาล 2010/11 สิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะชายนามว่า เซอร์ อเล็กซ์ ได้พาทีมแซงหน้าสถิติแชมป์ลีกสูงสุดของลิเวอร์พูลได้สำเร็จ โดยการคว้าแชมป์ลีกเหนือเชลซี

ผ่านมาอีก 1 ปีในฤดูกาล 2011/12 ในวันสุดท้ายของซีซั่นนั้นถือเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจทุกคนที่รักในสโมสร เมื่อคู่แค้นร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดันยิงประตูชนะลูกได้เสียคว้าแชมป์ลีกได้ในวินาทีสุดท้ายของฤดูกาล ทำให้ฤดูกาลนั้นแมนยูต้องพลาดแชมป์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย

และแล้วประถมมาบทความยิ่งใหญ่อันยาวนานกว่า 27 ปีของบรมกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในฐานะหัวเรือใหญ่ก็มาถึงหน้าสุดท้าย ฤดูกาล 2012/13 เป็นซีซั่นสุดท้ายสำหรับท่านเซอร์ และเขาก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังอีกตามเคย เมื่อเจ้าตัวพาทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ไปครองในขณะที่ยังเหลือเกมให้ลงเล่นอีก 4 เกม นั้นถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ชายคนหนึ่งจะให้กับสโมสรที่เขารัก


ปัจจุบัน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถูกยกย่องให้เปรียบเหมือนศาสดาแห่งวงการฟุตบอล แด่เหล่ากุนซือ และนักฟุตบอลรุ่นเก่ารุ่นใหม่ แถมยังเป็นทั้งแรงบันดาลใจ และเป็นปณิธานให้ทุกคนสืบทอดการใช้ชีวิตต่อไป






เดวิด มอยส์ 

เดวิด มอยส์
เดวิด มอยส์ ตกเก้าอี้กุนซือ แมนยู

เดวิด มอยส์
เดวิด มอยส์ ตกเก้าอี้กุนซือ แมนยู












เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Manchester United , Everton Football Club
 
             เดวิด มอยส์ ตกเก้าอี้กุนซือแมนยูเสียแล้ว หลังคุมทีม 10 เดือน ทำผลงานได้ย่ำแย่ มารู้จัก เดวิด มอยส์ ก่อน แมนยูปลดมอยส์
 
             ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 เมษายน 2557 แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกือบทั้งหมดคงเฮกันดังลั่น เมื่อสโมสรออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า ได้ปลดเดวิด มอยส์ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเรียบร้อย หลังจากที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุของการโดนปลดนั้น มาจากผลงานที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำทีมแชมป์เก่าร่วงมาอยู่อันดับ 7 ของตารางพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2013/2014 แทบจะหมดสิทธิ์ได้โควต้าฟุตบอลสโมสรยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก หรือยูฟ่า ยูโรป้า ลีกไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันผลงานในฟุตบอลถ้วยก็ไม่สามารถคว้าแชมป์มาได้
 
             อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานเดวิด มอยส์ กับแมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่ค่อยเป็นที่ประทับใจมากนัก แต่โปรไฟล์เก่า ๆ ของกุนซือชาวสกอตแลนด์ผู้นี้ ก็ยังมีดีอยู่ ดังนั้น เราไปย้อนดูโปรไฟล์การทำงานของเดวิด มอยส์กันครับ
 
เดวิด มอยส์ กับชีวิตส่วนตัว
 
             เดวิด มอยส์ เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506)  ที่เมืองเบียร์สเดน ประเทศสกอตแลนด์ ส่วนชีวิตครอบครัวนั้น มอยส์มีลูกสาว 1 คน และลูกชาย 1 คน
 
เดวิด มอยส์ กับสมัยเป็นนักเตะ
 
             เดวิด มอยส์ เริ่มต้นค้าแข้งฟุตบอลอาชีพในชุดใหญ่เป็นครั้งแรกกับทีมกลาสโกว์ เซลติก (ค.ศ.1980-1983) ทีมดังจากสกอตแลนด์ ในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง ก่อนที่จะย้ายมาอยู่สโมสรในอังกฤษ อย่างเคมบริดจ์ ยูไนเต็ด (ค.ศ. 1983-1985), บริสตอล ซิตี้ (ค.ศ.1985-1987), ชรูว์บิวรี่ ทาวน์ (ค.ศ.1987-2990) รวมแล้วเป็นระยะเวลา 7 ปี ก่อนที่จะย้ายกลับไปเล่นในลีกสกอตแลนด์ให้กับ ดันเฟิร์มลิน แอทเลติก (ค.ศ.1990-1993) และแฮมิลตัน อคาเดมิคัล (ค.ศ. 1993)
 
             กระทั่งปี ค.ศ. 1993 เดวิด มอยส์ ก็ได้กลับมาค้าแข้งกับสโมสรเปรสตัน นอร์ท เอนด์ ในประเทศอังกฤษอีกครั้ง ด้วยวัย 30 ปี ซึ่งสโมสรแห่งนี้ มอยส์ได้อยู่ค้าแข้งเป็นระยะเวลาถึง 6 ปี และแขวนสตั๊ดที่นี่
 
             ส่วนผลงานในระดับทีมชาติ มอยส์ติดธงในระดับสูงสุดเพียงแค่ทีมชาติสกอตแลนด์ชุดอายุต่ำกว่า 18 ปีเท่านั้น
 
เดวิด มอยส์ กับการคุมทีมครั้งแรกที่เปรสตัน
 
             เดวิด มอยส์ เริ่มคุมทีมเป็นครั้งแรกกับเปรสตัน สโมสรสุดท้ายในชีวิตการค้าแข้ง ในปี ค.ศ. 1998 ซึ่งงานแรกของมอยส์ก็หนักพอสมควร เพราะต้องเข้ามากู้วิกฤติทีมในช่วงดิ้นรนหนีการตกชั้นจากศึกดิวิชั่น 2 อังกฤษ (ลีก วัน ในปัจจุบัน) ก่อนที่มอยส์จะทำให้เปรสตันรอดตกชั้นเป็นผลสำเร็จ ต่อมาฤดูกาล 1998-1999 มอยส์เกือบจะนำเปรสตันเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 อังกฤษ (แชมเปียนชิพในปัจจุบัน) ไ้ด้แล้ว แต่พ่ายในรอบเพลย์ออฟไปเสียก่อน
 
             อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 1999-2000 มอยส์สามารถแก้มือได้สำเร็จ นำเปรสตันเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 อังกฤษ ในฐานะแชมป์ดิวิชั่น 2 พร้อมกับทำผลงานสวยหรูในฤดูกาลถัดมา คือ 2000-2001 ด้วยการพาทีมน้องใหม่อย่างเปรสตัน เกือบได้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกในระดับสูงสุดของอังกฤษ ทว่ากลับพ่ายโบลตัน วันเดอเรอร์ส ในรอบชิงชนะเลิศการเพลย์ออฟไปอย่างน่าเสียดาย

เดวิด มอยส์
เดวิด มอยส์ ตกเก้าอี้กุนซือ แมนยู
 
เดวิด มอยส์ กับชีวิตที่เอฟเวอร์ตัน 11 ปี
 
             ผลงานอันสวยหรูที่ทำไว้กับเปรสตัน ทำให้เอฟเวอร์ตัน สโมสรในศึกพรีเมียร์ลีก ได้ดึงเขามาเป็นผู้จัดการทีมในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2002 แทนที่วอลเตอร์ สมิธ เพื่อทำภารกิจช่วยเอฟเวอร์ตันหนีรอดจากการตกชั้น ซึ่งมอยส์ก็ทำสำเร็จ ส่วนในฤดูกาลถัดมา คือ 2002-2003 เดวิด มอยส์ ก็นำเอฟเวอร์ตัน ไปยึดอันดับ 7 ของตารางคะแนนในศึกพรีเมียร์ลีกได้
 
             อย่างไรก็ตาม ในการคุมเอฟเวอร์ตันช่วงแรกของมอยส์นั้น ค่อนข้างทำทีมดีสลับแย่ในแต่ละฤดูกาล กล่าวคือ หลังจากที่เอฟเวอร์ตันได้อันดับที่ 7 ในฤดูกาล 2003-2004 ซึ่งเป็นฤดูกาลถัดมา มอยส์ก็นำเอฟเวอร์ตันร่วงไปอยู่อันดับ 17 ของตารางคะแนน ซึ่งเป็นอันดับที่เหนือกว่าโซนตกชั้นเพียงอันดับเดียวเท่านั้น ก่อนที่ในฤดูกาล 2004-2005 มอยส์จะนำเอฟเวอร์ตัน ทะยานคว้าอันดับ 4 แถมพ่วงด้วยโควต้า ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบคัดเลือก แต่ถึงอย่างไร เอฟเวอร์ตันก็ไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปสู่รอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกได้ โดยพ่ายต่อบียาร์เรอัลจากสเปน
 

             หลังจากที่เดวิด มอยส์ พาเอฟเวอร์ตันคว้าอันดับ 4 ในฤดูกาล 2005-2006 มอยส์ ก็พาเอฟเวอร์ตัน ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 11 ของตารางคะแนน และหลังจากนั้น มอยส์ก็ทำผลงานให้กับเอฟเวอร์ตันได้อย่างดี คือไม่เคยได้อันดับต่ำกว่าอันดับที่ 8 อีกเลย จวบจน ค.ศ. 2013 ที่คุมเอฟเวอร์ตันเป็นฤดูกาลสุดท้าย


เดวิด มอยส์
เดวิด มอยส์
 
เดวิด มอยส์ รับช่วงต่ออเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่แมนฯ ยูไนเต็ด
 
             เดวิด มอยส์ ตัดสินใจยุติชีวิตที่ 11 ปีกับเอฟเวอร์ตัน ด้วยการไปรับงานที่ใหญ่กว่ากับแมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 6 ปี โดยที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมคนเก่า เป็นคนเลือกมอยส์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติเองกับมือ ส่วนแฟนบอลส่วนใหญ่ในขณะนั้นก็ชื่นชมในฝีมือการทำทีมของมอยส์ว่า เป็นคนวางรากฐานให้เอฟเวอร์ตันทำผลงานได้ดี แม้ว่าทีมจะมีงบอย่างจำกัด อีกทั้งยังเป็นคนที่จงรักภักดีต่อสโมสร เพราะคุมเอฟเวอร์ตันถึง 11 ปี อย่างไรก็ตามก็มีคนสงสัยในตัวมอยส์เช่นกัน เพราะมอยส์ ยังไม่เคยนำทีมคว้าแชมป์ระดับสูงรายการใดได้เลยในชีวิต อีกทั้งมีสถิติในการทำทีมออกไปเยือนทีมใหญ่ได้ไม่ค่อยดีนัก
 
             ทันทีที่มอยส์ เข้ามาที่แมนเชสเตอร์ เขาก็จัดการเปลี่ยนแปลงในแคมป์ฝึกซ้อมทันที ด้วยการโละสต๊าฟฟ์ของเฟอร์กูสันชุดเดิมออกไป และนำสต๊าฟฟ์บางส่วนจากเอฟเวอร์ตันเข้ามา จึงทำให้หลายฝ่ายเริ่มสงสัยว่า การนำสต๊าฟฟ์ชุดเก่าที่ทำงานกับนักเตะระดับโลกออกไป แล้วนำสต๊าฟฟ์ชุดใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การลุ้นแชมป์เข้ามา จะทำให้ทีมแย่ลงหรือไม่

 
             สำหรับการประเดิมคุมทีมนัดแรกของเดวิด มอยส์นั้น คือเกมพ่ายสิงห์ ออลสตาร์ ในเกมอุ่นเครื่องที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ส่วนเกมการแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดแรก เดวิด มอยส์ สามารถนำแมนฯ ยูไนเต็ด ชนะวีแกน แอธเลติก ในศึกคอมมูนิตี้ ชิลด์ พร้อมคว้าโล่การกุศลมาครอง และเป็นแชมป์แรกของเดวิด มอยส์ กับแมนฯ ยูไนเต็ดอีกด้วย
 
             แต่เมื่อฤดูกาลแรกกับแมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ผลงานของมอยส์ ก็ไม่น่าประทับใจนัก แพ้นัดแรกในฤดูกาลแก่ลิเวอร์พูล 0-1 อีกทั้งยังถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่ปรับร่วมเมือง ถล่ม 4-1 อีกด้วย นอกจากนี้ ผลงานของทีมยังไม่สามารถรักษาความสม่ำเสมอ ส่งผลให้ส่อแววหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ตั้งแต่ต้นฤดูกาล
 
             ส่วนการแข่งขันในฟุตบอลถ้วย 3 รายการ ก็ทำผลงานได้น่าผิดหวัง โดยแพ้ซันเดอร์แลนด์ ในรอบรองชนะเลิศ ลีก คัพ, แพ้สวอนซี ซิตี้ คาบ้าน 1-2 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 3 และตกรอบเพราะบาเยิร์น มิวนิค ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีก ด้วยสกอร์รวม 2-4
 

             จากผลงานเหล่านี้ เริ่มทำให้มีแฟนบอลบางส่วนเริ่มส่งเสียงร้องให้ปลดเดวิด มอยส์ ออกจากตำแหน่ง และสถานการณ์เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีก เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ด พ่ายคาบ้านต่อลิเวอร์พูล และแมนฯ ซิตี้ ซึ่งเป็นคู่ปรับ 0-3 ทั้งสองนัด จนแฟนบอลบางส่วนได้จัดการเช่าเรือบินติดป้ายข้อความว่า Wrong One เหนือสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดกันเลยทีเดียว
 
             นอกจากนี้ แฟนบอลทีมคู่แข่งอย่างลิเวอร์พูล และแมนฯ ซิตี้ที่อังกฤษเอง ก็มีการแซวเดวิด มอยส์ จนกลายเป็นตัวตลกของทีมอื่น ทำนองว่า ต้องการให้มอยส์ อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทีมนาน ๆ เพราะเป็นอัจฉริยะทางด้านลูกหนัง แต่ความจริงคือ แฟนบอลเหล่านั้น อยากให้มอยส์ทำทีมแมนฯ ยูไนเต็ด นาน ๆ เพื่อให้ทีมตกต่ำนานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
 
             กระทั่งการบุกไปแพ้เอฟเวอร์ตัน ทีมเก่าของมอยส์ 0-2 กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายระหว่างแมนฯ ยูไนเต็ด กับเดวิด มอยส์ จนต้องประกาศแยกทางกันในที่สุด และเป็นครั้งแรกที่มอยส์ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม พร้อมกับตั้งไรอัน กิ๊กส์ นักเตะตำนานของทีมขึ้นมาเป็นรักษาการผู้จัดการทีม
 

             หลังจากที่เดวิด มอยส์ ออกไป แฟนแมนฯ ยูไนเต็ดหลายคนคงตั้งหน้าตั้งตารอฤดูกาลหน้าอย่างใจจดใจจ่ออย่างแน่นอนว่า ใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ซึ่งตัวเต็งก็มีหลุยส์ ฟานกัล, เจอร์เก้นส์ คล็อปป์, ไรอัน กิ๊กส์
 
             ส่วนเดวิด มอยส์นั้น เรียกได้ว่า ผลงานที่แมนฯ ยูไนเต็ด 1 ปี เหมือนทำลายประวัติการคุมทีมที่ดีในช่วงเปรสตันและเอฟเวอร์ตัน รวม 15 ปีไปอย่างย่อยยับเลยทีเดียว...

เดวิด มอยส์
เดวิด มอยส์
 
สถิติต่าง ๆ ที่เดวิด มอยส์ สร้างขึ้นในช่วงคุมแมนฯ ยูไนเต็ด
 
             1. เป็นครั้งแรกที่เอฟเวอร์ตัน, แมนฯ ซิตี้ และลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดได้ทั้งเหย้าและเยือน ตั้งแต่มีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีกขึ้น
 
             2. เอฟเวอร์ตัน สามารถบุกเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ฤดูกาล 1969-70 หรือ 44 ปีที่แล้ว
 
             3. เป็นครั้งแรกที่ เอฟเวอร์ตันและลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมจากเมืองเดียวกัน สามารถเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดได้ทั้งเหย้าและเยือน
 
             4. เป็นครั้งแรกที่แมนฯ ซิตี้ และลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมคู่ปรับ สามารถชนะแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือน นับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก
 
             5. เป็นครั้งแรกที่แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูตั้งแต่นาทีแรก โดยถูกเอดิน เซโก้ จากแมนฯ ซิตี้ ยิงที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก่อนที่เกมนั้นยูไนเต็ดจะพ่าย 0-3
 
             6. แมนฯ ยูไนเต็ด จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ต่ำที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกมา โดยอันดับที่ต่ำที่สุดก่อนหน้านี้คืออันดับ 3
 
             7. แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ไปแข่งขันยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1995
 
             8. แมนฯ ยูไนเต็ด พ่ายคาบ้านมากที่สุดในรอบทศวรรษ
 
             9. แพ้ 3 นัดติดเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2001 หรือ 13 ปีที่แล้ว
 
             10. ตกรอบเอฟเอ คัพ รอบ 3 ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในยุคเฟอร์กูสัน
 
             11. พ่ายคาบ้านต่อสวอนซี ซิตี้เป็นครั้งแรก
 
             12. พ่ายคาบ้านต่อนิวคาสเซิลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 หรือ 42 ปีที่แล้ว
 
             13. พ่ายคาบ้านต่อเวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน เป็นครังแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1978 หรือ 36 ปีที่แล้ว
 
             14. พ่ายต่อสโต๊ค ซิตี้ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1984 หรือ 30 ปีที่แล้ว
 
             สำหรับสถิติการคุมทีมของมอยส์ ในการเจอทีมที่มีอันดับเหนือกว่า ก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่งนั้น จากการแข่งขันทั้งหมด 12 นัด ชนะ 1 เสมอ 3 และแพ้ 8 นัด รายละเอียด ดังนี้
 
             1. ลิเวอร์พูล แพ้ 2 นัด (เหย้า 0-3, เยือน 0-1)

             2. เชลซี เสมอ 1 นัด และแพ้ 1 นัด (เหย้า 0-0, เยือน 1-3)

             3. แมนฯ ซิตี้ แพ้ 2 นัด (เหย้า 0-3, เยือน 1-4)

             4. อาร์เซน่อล ชนะ 1 นัด และเสมอ 1 นัด (เหย้า 1-0, เยือน 0-0)

             5. เอฟเวอร์ตัน แพ้ 2 นัด (เหย้า 0-1, เยือน 0-2)

             6. ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ เสมอ 1 นัด แพ้ 1 นัด (เหย้า 1-2, เยือน 2-2)


https://men.kapook.com



ประวัติ   ธีรศิลป์ แดงดา

   





ประวัติ
       ธีรศิลป์ แดงดา เกิดที่จังหวัดสุรินทร์ มีบิดาชื่อ พ.อ.อ.ประสิทธิ์ แดงดา กับมารดาชื่อกาญจนา ซึ่งเป็นชาวจังหวัดสุรินทร์ และธีรศิลป์มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อ ธนีกาญจน์ แดงดา ซึ่งเป็นนักกีฬาฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ทั้งนี้ ธีรศิลป์สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี โดยเขาได้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลเยาวชนของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีด้วย ซึ่งได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมรุ่นและผู้ฝึกสอนของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีว่าเป็นนักฟุตบอลที่เก่งและสามารถเคลื่อนไหวไปกับลูกบอลได้อย่างรวดเร็ว
 

ฟุตบอลสโมสร
   

จ่าอากาศและราชประชา 
     
ธีรศิลป์ เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรฟุตบอลโรงเรียนจ่าอากาศ ใน ไทยลีกดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2547/48 ในวัยแค่ 17 ปี ซึ่งเขาไม่ค่อยมีโอกาสลงเล่นมากนัก แต่ก็สามารถทำประตูได้ 3 ประตูจากการลงเล่นแค่ 6 นัด ซึ่งในขณะนั้นยังเล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวรุก ปี พ.ศ. 2549 ธีรศิลป์ย้ายไปเล่นให้กับราชประชา เอฟซี ในฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ข และตกรอบแบ่งกลุ่ม โดยธีรศิลป์ได้ลงเล่นในตำแหน่งกองหน้ามากขึ้น และสามารถทำประตูได้ถึง 9 ประตู จากการลงเล่น 18 นัด รวมทั้งจ่ายให้เพื่อนทำประตูถึง 5 ครั้ง ฤดูกาล 2550 ธีรศิลป์ถูกยืมตัวมาเล่นให้กับโรงเรียนจ่าอากาศอีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก







เมืองทองยูไนเต็ด (ครั้งที่ 1)
    
จากนั้นช่วงครึ่งฤดูกาล (เลก 2) ธีรศิลป์ได้ย้ายลงมาเล่นให้สโมสรเมืองทองฯ ยูไนเต็ดในไทยลีกดิวิชั่น 2 ปี พ.ศ. 2550และเป็นนักฟุตบอลที่มีส่วนในการนำเมืองทองเป็นแชมป์ไทยลีกดิวิชั่น 2 ซึ่งผู้จัดการทีมของเมืองทองในขณะนั้นคือ โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ ได้กล่าวเอ่ยชมว่า "ธีรศิลป์เริ่มมีทักษะและการเล่นที่ดีมากขึ้นจนมีหลายทีมทั้งในประเทศและนอกประเทศสนใจอยากได้ธีรศิลป์ได้ร่วมทีม ซึ่งตัวผมและสตาฟโค้ชทุกคนยังเชื่อมั่นได้เลยว่าเด็กคนนี้มีอนาคตที่สดใสแน่นอน" ซึ่งในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ได้ลงเล่น 15 นัด ทำประตูได้ 7 ประตู จ่ายให้เพื่อนทำประตูได้ 2 ครั้ง


เมืองทอง ยูไนเต็ด (ครั้งที่ 2)
   
 ฤดูกาล 2552 ในปี พ.ศ. 2552 ธีรศิลป์ได้กลับมาเซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ในขณะนั้น โค้ชแต๊ก อรรถพล บุษปาคม เป็นผู้ฝึกสอน โดยย้ายแบบไม่มีค่าตัว หลังจากเคยเล่นให้สโมสรนี้มาแล้วในระดับดิวิชั่น 2 และได้ลงสนามในไทยพรีเมียร์ลีกเป็นนัดแรกเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552 ในเกมส์ที่เปิดบ้านชนะการท่าเรือไทย 3-0 ซึ่งเขาเป็นคนยิงประตูแรกให้ทีมขึ้นนำ และนัดนี้ถือเป็นการลงเล่นในลีกสูงสุดของไทยเป็นครั้งแรกของเจ้าตัวด้วยซึ่งเขาสามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรกของสโมสร ซึ่งนอกจากธีรศิลป์แล้วยังมีนักเตะที่เป็นกำลังหลักสำคัญในการช่วยสโมสรคว้าแชมป์คือ ดักโน เซียกา ซึ่งเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสรในฤดูกาลนั้นที่ทำไป 10 ประตู, ซูมาโฮโร ยายา, สุริยา ดอมไธสง และในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ยิงได้ 7 ประตู




ฤดูกาล 2553

 ในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงมากขึ้นถึงแม้จะติดเกมส์ของทีมชาติและมีอาการบาดเจ็บทั้งเกมส์ในลีก,ทีมชาติ และเกมส์ชิงแชมป์สโมสรเอเชียอย่าง เอเอฟซีคัพ แต่เขาก็ยังเป็นกำลังหลักสำคัญของสโมสรในการคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ของสโมสรเทียบเท่า บีอีซี เทโรศาสน ธนาคารกรุงไทย และแอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด นอกจากนั้นเขายังยิงได้ในรายการเอเอฟซีคัพ รอบสิบหกทีมสุดท้ายสุดท้ายที่สโมสรเจอกับอัล รายยัน สโมสรฟุตบอลจากประเทศกาตาร์ แต่ก็ต้องตกรอบในรอบแปดทีมสุดท้ายในนัดทีเจอกับอัล อิตติฮัด จากซีเรีย ไปด้วยผล 2-1

 ฤดูกาล 2554

 เมื่อหลังจบศึกการเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือกในโซนเอเชีย ให้กับทีมชาติไทย ธีรศิลป์ได้กลับมาช่วยต้นสังกัดอีกครั้ง ซึ่งในฤดูกาลนี้สโมสรเมืองทองได้สร้างความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลไทยอีกครั้งด้วยการซื้อร็อบบี ฟาวเลอร์ อดีตกองหน้าตัวเก่งของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และ คริสเตียน ควาคู มาช่วยธีรศิลป์ในการเพิ่มเกมส์รุกให้มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์นำทีมไปเล่นในรายการ เอเอฟซีคัพ (ซึ่งตกรอบมาจาก เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2554 รอบคัดเลือก) โดยเมืองทองอยู่กลุ่มเดียวกับ สโมสรฟุตบอลทัมปิเนสโรเวอร์, ฮานอย ทีแอนด์ที และวีบี สปอร์ต คลับ ธีรศิลป์ได้ยิงประตูในรอบแบ่งกลุ่ม 2 ลูก ในนัดที่เมืองทองเปิดบ้านเอาชนะ ฮานอย ทีแอนด์ที ไป 4-0 (ยิง 2 ประตูเดียวในนัดนี้) และเมืองทองก็เป็นแชมป์กลุ่มแล้วทะลุมาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับอัล อะห์เอ็ด และธีรศิลป์สามารถยิงประตูได้ในนัดนี้ แต่ก็ต้องตกรอบในรอบ 8 ทีมสุดท้ายในนัดที่เจอกับ คูเวต เอสซี ซึ่งแพ้ไป 1-0 และใน ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ยิงได้ 13 ประตู และทำแฮตทริกได้ 1 ครั้งในนัดที่พบกับบางกองกล๊าสที่เมืองทองชนะด้วยผล 6-2

 ฤดูกาล 2555 

ก่อนที่ ไทยพรีเมียร์ลีก 2555 จะเปิดฤดูกาลสโมสรเมืองทองได้ซื้อนักเตะโควตาต่างชาติเข้ามาช่วยธีรศิลป์ในการทำเกมส์รุกในแดนกองหน้า หลังจากที่ฤดูกาลที่แล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จอย่างที่ควร โดยซื้อนักเตะอย่าง มารีโอ ยูโรฟสกี, อัดนัน บาราคัท, เปาลู รังเฌล ประตูแรกที่ธีรศิลป์ยิงได้ในไทยลีกนัดแรกคือเกมส์ที่เมืองทองเปิดบ้านเอาชนะ สโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทย ไป 5-1 ธีรศิลป์ยังทำแฮตทริกได้ในนัดที่เมืองทองบุกไปเอาชนะบีบีซียู เอฟซี ได้ 1-8 ส่วนใน ไทยคม เอฟเอคัพ 2555 รอบก่อนรองชนะเลิศที่เมืองทองเจอกับอาร์มี่ ยูไนเต็ด ซึ่งธีรศิลป์ก็ยิงไป 1 ประตู แต่ก็แพ้ด้วยผล 3-2 และในโตโยต้า ลีกคัพ 2555 ธีรศิลป์จะยิงประตูไม่ได้แต่ก็ช่วยจ่ายให้เพื่อนทำประตู 2 ครั้ง และเมื่อจบการแข่งขัน ไทยพรีเมียร์ลีก 2555 เมืองทองยูไนเต็ดเป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกสมัยที่ 3 ซึ่งสามารถสร้างสถิติไม่แพ้สโมสรใดในฤดูกาลนี้ ซึ่งธีรศิลป์ก็ได้รับรางวัลดาวซัลโวร่วมกับ คลีตัน โอลิเวียรา ซิลวา นักฟุตบอลชาวบราซิลของบีอีซี เทโรศาสน ด้วยการทำประตูไป 24 ประตู และยังได้รับรางวัล กองหน้ายอดเยี่ยมประจำปี พ.ศ. 2555 ของไทยพรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรกของเจ้าตัว

หลังจากจบฤดูกาล 2555 

หลังจบศึก ไทยพรีเมียร์ลีก 2555 ไปประมาณ 1 เดือน ธีรศิลป์ได้กลับไปอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ร่วมกับครอบครัว ซึ่งในช่วงนั้นมีข่าวลือเกี่ยวกับการย้ายตัวของธีรศิลป์มากมายทั้งจะย้ายไปอยู่ในลีกฟุตบอลเกาหลี,ออสเตรเลีย และสโมสรฟุตบอลเฆตาเฟ จาก ลาลิกาสเปน ได้ยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 10 ล้านบาทมาให้สโมสรเมืองทองแต่ก็ได้รับการปฏิเสธไป แต่ก็มีข่าวที่ทำให้แฟนบอลชาวไทยดีใจกันทั้งประเทศคือ สโมสรฟุตบอลอัตเลติโกเดมาดริด จากลาลิกาสเปน ซึ่งเป็นสโมสรพันธมิตรกับเมืองทองได้เชิญธีรศิลป์เข้าไปร่วมทดสอบการเล่นกับสโมสรเป็นเวลา 1 เดือน ที่ ประเทศสเปนและพร้อมจัดที่พักกับรถรับส่ง ซึ่งทั้งทางธีรศิลป์และสโมสรเมืองทองได้ตอบตกลงกับทางอัตเลติโกเดมาดริดและมีกำหนดการไปร่วมฝึกซ้อม ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 และหลังจากนั้นธีรศิลป์ได้ถูกเรียกในนาม ฟุตบอลทีมชาติไทย เพื่อไปแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ที่ประเทศไทยและประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพร่วม
  


ฤดูกาล 2556 

อัตเลติโกเดมาดริด (ไปทดสอบการเล่น) ในฤดูกาล 2556 ธีรศิลป์เดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรฟุตบอลอัตเลติโกเดมาดริด ที่ประเทศสเปน พร้อมกับผู้ฝึกสอน อุทัย บุญเหมาะ ที่บินไปอบรมผู้ฝึกสอน และนักเตะเยาวชนของสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด อีก 9 ราย อย่างกษิดิ์เดช เวทยาวงศ์, เสกสิทธิ์ ศรีใส, ตามีซี หะยียูโซะ, กิตติศักดิ์ โฮชิน, ณัฐพล เปี่ยมพลาย, นนทวัฒน์ กลิ่นจำปาศรี, วีระวัฒน์ เกิดปั้น, พิชา อุทรา, พิพรรธพล ทับไทร ก็เดินทางไปเพาะบ่มฝีเท้ากับเจ้ามุ้ยด้วยเช่นเดียวกัน โดยเดินทางไปจากสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2556 [2] และถึงประเทศสเปนเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ท่ามกลางการต้อนรับถึงสนามบินที่สเปนของตัวแทนสโมสรฟุตบอลอัตเลติโกเดมาดริด[3] และธีรศิลป์ก็ได้ลงซ้อมประเดิมทดสอบฝีเท้ากับทีมสำรองชุดเบและชุดเซ[4] โดยได้ไปซ้อมกับนักเตะชื่อดังของสโมสรอัตเลติโกเดมาดริด อาทิ ราดาเมล ฟัลกาโอ, อาร์ดา ทูรัน, เดียโก โกดิน ซึ่งมีผู้ฝึกสอนชุดใหญ่ของสโมสรอย่างดิเอโก ซิเมโอเน เป็นผู้ดูแลและคอยให้คำแนะนำและแท็กติกให้กับธีรศิลป์


อัลเมริอา

 ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 สโมสรอูเด อัลเมริอา ในลาลิกาของสเปน ได้ยืมตัวธีรศิลป์ไปเล่นในฤดูกาล 2557-2558 เป็นเวลา 1 ฤดูกาล ภายใต้การคุมทีมของฟรันซิสโก คาเบียร์ โรดรีเกซ บิลเชซ กุนซือชาวสเปน พร้อมเงื่อนไขในการซื้อขาดหากทำผลงานได้ดี โดยธีรศิลป์จะได้สวมเสื้อหมายเลข 18 ลงเล่นให้กับอัลเมริอา ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับสโมสรที่สภาว่าการเมืองอัลเมริอา แคว้นอันดาลูซิอา ประเทศสเปน วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ธีรศิลป์สร้างประวัติศาสตร์โดยการเป็นนักเตะชาวไทยคนแรกที่ได้ลงเล่นในลาลิกา เมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเฟร์นันโด โซเรียโน มาร์โกในเกมลาลิกาที่อัลเมริอาเปิดบ้านเสมออัสปัญญ็อล 1-1 ในลาลิกา ธีรศิลป์ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นมากนัก โดยต้องตกเป็นตัวสำรองของโตเมร์ เฮเมด กองหน้าทีมชาติอิสราเอล และมักจะถูกส่งลงมาเล่นในช่วงท้ายเกม วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ธีรศิลป์ถูกส่งลงสนามในฐานะตัวจริงเป็นนัดแรก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยโกปาเดลเรย์ รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดแรก โดยอัลเมริอาต้องออกไปเยือนเรอัลเบติสที่สนามเบนิโต บิยามาริน ซึ่งเกมส์นี้ถือเป็นดาร์บีแมตช์ของแคว้นอันดาลูซิอาอีกด้วย การลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกของธีรศิลป์ เขาสามารถยิงประตูแรกให้ต้นสังกัดได้สำเร็จ เมื่ออิบัน ซันเชซจ่ายบอลมาให้เขาหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงประตูผ่านดานี คีเมเนซ ผู้รักษาประตูของเรอัลเบติส เข้าไปให้ทีมบุกมานำ 0-2 ก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะ 3 - 4 ในต้นปี พ.ศ. 2558 ธีรศิลป์ได้ยกเลิกสัญญากับอัลเมริอา ทำให้ไม่ครบระยะเวลาสัญญา 1 ปี โดยจะกลับไปเล่นให้กับเมืองทอง ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเดิม โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถปรับตัวได้ โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารหรือเรื่องภาษา ทำให้ธีรศิลป์ลงเล่นในลาลิกา 6 นัด ยิงไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียว แต่ยิงได้ 1 ประตูในรายการโกปาเดลเรย์ จากการลงเล่น 4 นัด


เมืองทอง ยูไนเต็ด (หลังกลับอัลเมริอา) 

หลังจากธีรศิลป์ ตัดสินใจที่จะกลับเมืองทอง ยูไนเต็ด ในปี พ.ศ. 2558 โดยกลับมาก็ได้เล่นเกมอุ่นเครื่องพบกับทีมธนบุรี ซิตี้ ซึ่งธีรศิลป์สามารถทำประตูได้ แต่พอเริ่มเปิดลีก ไทยพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2558 ธีรศิลป์กลับฟอร์มตกอย่างน่าใจหายในช่วงต้น หลังจากนั้นก็คืนฟอร์ม ทำ2ประตูได้ในการแข่งขันโตโยต้า ลีกคัพ พบกับทีม สงขลา ยูไนเต็ด ก่อนจะมาทำประตูแรกในไทยลีกนัดที่เยือน ราชนาวีหลังจากนั้นธีรศิลป์ผลงานดีขึ้น จนกลับมาทำผลงานได้ดีอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากการที่ ดราแกน ทาลาจิค ให้ธีรศิลป์เล่นในตำแหน่งปีกซ้าย และสร้างสรรค์เกมรุกได้อย่างดี ก่อนจะจบฤดูกาล 2558 ด้วยผลงาน 11ประตู กับ 13 แอสซิตส์ (นับแค่ไทยลีก) ถ้ารวมทุกรายการยิงไป 14ลูก นอกจากนั้นในการแข่งขัน ช้าง เอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ ธีรศิลป์เป็นคนยิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในนัดที่ชนะ อาร์มี่ ยูไนเต็ด 2-1 พาทีม เมืองทอง ยูไนเต็ดเข้าชิง ช้าง เอฟเอคัพ ก่อนสุดท้ายจะแพ้ให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศ








     
               https://th.wikipedia.org/



วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2566

3 อันดับสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก



สัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก เป็นสัตว์ที่มีความเร็วในการวิ่งหรือเคลื่อนที่เร็วมาก ส่วนมากสัตว์ที่วิ่งเร็วมักจะเป็นสัตว์ 4 ขาเพราะใช้ขาทั้งหมดในการวิ่ง จึงทำให้การเคลื่อนที่ของมันนั้นเร็วมาก แต่สัตว์ที่วิ่งด้วย 2 ขาจะใช้แค่สองขาในการวิ่งจึงจะช้ากว่าสัตว์สี่ขา สัตว์สี่ขาบางชนิดมีความเร็วเทียบเท่ากับรถยนต์กันเลยทีเดียว เรามาดูกันว่า สัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก นั้นมีตัวไหนบ้าง 












3.ละมั่งสปริงบ็อก (Springbok) 
        เป็นสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง จำพวกแอนทิโลป จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Antidorcas ที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ชื่อทางวิทยาศาตร์ คือ Antidorcas marsupialis สปริงบ็อกจัดเป็นแอนทิโลปขนาดกลาง จำพวกกาเซลล์ พบกระจายพันธุ์เฉพาะ แอฟริกาตอนใต้ แถบลุ่มแม่น้ำแซมเบซีเท่านั้น ตัวผู้มีเขาโค้งเป็นรูปตัววี ตัวเมียมีเขาเช่นกัน แต่มีขนาดเล็กและสั้นกว่าตัวผู้ 


มีขนาดความสูงจากหัวไหล่ถึงปลายเท้าประมาณ 78-84 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 31-36 กิโลกรัม อายุขัยโดยเฉลี่ย 10 ปี สปริงบ็อกรวมตัวกันหากินเป็นฝูงในทุ่งหญ้าและกินหญ้าเป็นอาหาร การที่ได้ชื่อว่าเป็นสปริงบ็อก มากพฤติกรรมที่สามารถกระโดดลอยตัวได้สูงและไกลมากมายยามตกใจหรือหลบหนีศัตรู โดยกระโดได้สูงกว่า 8-10 ปุต หรือ 4 เมตร และกระโดดได้ไกลถึง 15 เมตร สามารถวิ่งได้เร็วถึง 97 กิโลเมตร/ชั่วโมง สปริงบ็อกมีหลากหลายสีตามลักษะทางพันธุกรรม
















2.ละมั่งเขาแหลม (Pronghorn)
   มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Antilocapra Americana เป็นสายพันธุ์สัตว์เท้ากีบที่มีถิ่นอาศัยอยู่ทางตะวันตก และตอนกลางของอเมริกาเหนือ แม้ว่าจะถูกเรียกว่าแอนทิโลปหรือละมั่งเนื่องจากมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน แต่โดยสายพันธุ์แล้วพวกมันวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่มีความใกล้ชิดกับยีราฟ และโอคาปิมากกว่า ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยนักสำรวจชาวสเปนเมื่อศตวรรษที่ 16 แต่ไม่ได้มีการบันทึกไว้โดยละเอียด

ก่อนที่จะถูกอธิบายลักษณะอีกครั้งโดยนักสำรวจชาวยุโรปในศตวรรษที่ 18 ลักษณะเด่นคือ ขนยาวทั่วลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน แต่จะมีขนสีขาวบริเวณร่องข้างหน้าอก ท้องแถบขวางใต้ลำคอ และเป็นวงตรงบั้นท้าย ตัวผู้ที่โตเต็มที่จะมีความยาว 1.3 – 1.5 เมตร ความสูง 81-104 เซนติเมตร และหนัก 40-65 กิโลกรัม จุดสังเกตคือตอนปลายทั้งสองข้างจะแยกออกเป็นสองแฉก ส่วนตัวเมียมีความสูงเท่ากับตัวผู้ แต่มีน้ำหนัก 34-48 กิโลกรัม และไม่มีเขา วิ่งได้เร็ว 98-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง












1.เสือชีตาห์ (Cheetah) 
เป็นเสือเล็กชนิดหนึ่ง ไม่สามารถส่งเสียงคำรามได้ แต่จากรูปร่างภายนอก ทำให้นิยมเรียกกันว่า เสือชีตาห์ เสือชีตาห์มีที่อยู่อาศัยในทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วมาก สามารถวิ่งได้เร็วประมาณ 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จัดเป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก เป็นผลมาจากความสามารถในการโค้งงอของกระดูกสันหลังในการเคลื่อนที่ และเม อพุ่งตัวกระดูกสันหลังจะเยียดออก ปัจจุบันเสือชีตาห์ลดจำนวนลงในทวีปเอเชียเหลืออยู่แค่ในอิหร่าน เสือชีตาห์มีชื่อวิทยาศาตร์ว่า Acinonyx Jubatus และจัดเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่อยู่ใน Acinonyx ที่ยังสืบเผ่าพันธุ์จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเสือชีตาห์ชนิดอื่น ๆ ได้สูญพันธุ์ไปหมดในยุคน้ำแข็งสุดท้าย


ถิ่นกำเนิดของเสือชีตาห์ พลในทวีปแอฟริกาตั้งแต่ตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า บริเวณทุ่งหญ้าในตะวันออก และตอนใต้ของแอฟริกา นอกจากนี้ยังพบในอินเดีย เสือชีตาห์อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าในพื้นที่ประเภทกึ่งซาฮารา ป่าไม้พุ่ม ป่าไม้แคระ ป่าละเมาะ พบบ้างในป่าไมออมโบ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในแอฟริกาตอนกลาง แต่ไม่พบในแนวผ่าซาวันนาซูดาโน-กิเนียนซึ่งอยู่ในตะวันตก ในอิหร่านมักพบในพื้นที่ที่มีไม้พุ่มสลับทุ่งหญ้าและมีหิมะในฤดูหนาว การสืบสายพันธ์ ท้องนาน 90-95 วัน ตกลูกครั้งละ 1-8 ตัว ลูกลืมตาได้เมื่ออายุ 5-11วัน ตามองเห็นเมื่ออายุ 20 วัน กินอาหารแข็งได้เมื่ออายุ 3 สัปดาห์ไปแล้ว และอย่านมเมื่ออายุ 10 สัปดาห์ไปแล้ว ลักษณะทั่วไปของเสือชีตาห์ เป็นเสือรูปร่างเพรียว ขนาดเล็กกว่าเสือดาวเล็กน้อย ขายาว ขนหยาบ สีเขียวอ่อนอ่อน จนถึงสีเขียวอมแดง ตามลำตัวมีลายจุดเป็นสีดำ ปลายหางหนึ่งในสามมีวงแหวนสีดำ ปลายสุดสีขาว มีเส้นสีดำจากใต้หัว ที่มุมปากทั้งสองข้าง หูเล็กกลม ขนท้ายทอยยาวและตั้งขึ้นเป็นแผง คอสั้น สายพันธุ์ที่มากจากโรเซีย มีดวงดวงตามตัวติดกันเป็นแถบสีดำยาย เรียก King Cheetah หรือ ชีตาห์ราชา เสือชีตาห์หดซ่อนเล็บไว้ในอุ้งเล็บไม่ได้ นอกจากตอนอายุน้อยไม่เกิน 15 สัปดาห์ เนื่องจากช่วงนี้ หนังหุ้มเจริญตัวดีมาก หลังจากนั้น หนังหุ้มจะหดหายไป เป็นเสือวิ่งเร็วที่สุดในช่วงสั้น อุ้งเท้า เล็บ แคบกว่าเสือชนิดอื่น ๆ













https://discoveryman.com















โค้ชที่ฉันชอบ

                        เอริก เทน ฮาก เกิด : 2 กุมภาพันธ์ 1970 ที่ฮากส์แบร์เกน เนเธอร์แลนด์ อายุ : 52 ปี บอร์ด 'แมนยู' ประทับใจ ...